คาเซมิโร่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งชื่อของสุดยอดนักเตะที่ถูกยกย่องและว่าเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่เก่งที่สุดในโลก หลังจากที่เขาได้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในการฟาดแข้งและเป็นอีกคนหนึ่งที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาอย่างมากมายกว่าที่จะฝ่าฟันจนสามารถประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ ที่นี่เราจึงขอโอกาสพาทุกท่านย้อนเวลาไปชมเส้นทางชีวิตของเขากัน
ข้อมูลส่วนตัว
Casimiro ชื่อเต็มของเขานั่นก็คือ Carlos Henrique Casimiroโดยเขาคนนี้นั้นเป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มที่เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1992 ในเมือง เซา โชเซ่ โดส กัมโปส ประเทศบราซิลอายุ 30 ปีส่วนสูง 185 และเล่นเป็นกำลังหลักในตำแหน่งกองกลางตัวรับ
เส้นทางของลูกหนังที่ไม่ธรรมดา
กาเซมีรู นั้นนับว่าเป็นหนึ่งในเยาวชนที่เติบโตขึ้นมาจากการพัฒนาของ สโมสร เซาเปาโล อย่างแท้จริง ซึ่งเขานั้นได้มีคุณสมบัติอันโดดเด่นภายในตัวอย่างมากมายจนทำให้สโมสรดังกล่าวเล็งเห็นแววที่จะพัฒนาต่อสู่
อนาคตที่รุ่งโรจน์ได้อย่างชัดเจน ถึงได้มีการดึงมาร่วม ฝึกฝีไม้ลายมือตั้งแต่เมื่อตอนที่เขาอายุเพียงแค่ 11 ปี เท่านั้น
วันที่ 25 กรกฎาคม 2010 คือวันที่ Casimiro ได้ลงเล่นฟาดแข้งในเกม Series a หรือในเกม League สูงสุดของบราซิลเป็นนัดแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำเพราะได้นัดนั้น ทีมของเขาแพ้ให้กับซานโตสในขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมปีเดียวกันเขาก็ได้ทำประตูในเกมชุดใหญ่ได้เป็นครั้งแรกกับเกมที่ เซา เปาโล เสมอกับ ครูเซยโร่ 2 ต่อ 2 นั่นเอง ซึ่งถ้าจะนับกับผลงานของเขาต้องเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวละครยอดนักเตะที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ซ้ำยังเข้าตาแมวมองของ Real Madrid แต่ทางราชันชุดขาวก็ยังไม่ได้ตัดสินใจฟันธงซื้อเขาในทันที โดยใช้กลเม็ดวิธีการยืมตัวมาเล่นกับทีมชุดสำรองเสียก่อนในช่วงเดือนมกราคม 2013
ซึ่งเขาก็ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 20 เมษายนปีเดียวกันในเกมที่ชนะ เรอัล เบติส 3 ต่อ 1 และสุดท้ายทางด้านราชันชุดขาวจึงได้ตัดสินใจซื้อขาดเมื่อเดือนมิถุนายน 2013 ในฤดูกาล 2013 ถึง 2014 โดยที่ต่อมาเขาก็ได้ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ของมาดริดไปทั้งหมด 25 นัดในทุกรายการเลยทีเดียว ต่อมาช่วง Summer ปี 2014 Real Madrid จึงได้ตัดสินใจปล่อย กาเซมีรู ให้ทางด้าน เอฟซี ปอร์โต้ สุดยอดทีมยักษ์ใหญ่แห่งโปรตุเกสยืมตัวไปใช้งาน 1 ฤดูกาล ซึ่งการไปที่นั่นเขากลับกลายเป็นแกนหลักของทีมและได้รับความไว้วางใจได้ลงเล่นถึง 41 นัดในทุกรายการพร้อมทั้งทำได้ 4 ประตูโดย 1 ประตูในนั้นก็คือรูปฟรีคิกที่ทำให้ทีมชนะ เอฟซี บาเซิ่ล 4 ต่อ 0 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ซึ่งเขานั้นก็ยังคงเล่นฟุตบอลในรูปแบบของตัวเองที่คงความเหนียว และใช้สกิลของตัวเองในการเปิดบอลในทุก ๆ เกมได้อย่างสวยงาม ซึ่งยังเคยทำประตูใส่ Manchester United ในเกมยูฟ่าซุปเปอร์คัพที่มาดริดชนะ 2 ต่อ 1 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2017 อีกด้วย ต่อมาในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 มาดริด จึงได้ตัดสินใจขยายสัญญาของ คาเซมิโร่ เองไปจนถึง ปี 2025 จนทำให้มันดูเหมือนกับว่าเขายังเล่นให้กับทีมต่อไปอีกนานแถมเมื่อในวันที่ 10 สิงหาคม 2022 ตัวของเขาเองนั้นยังสามารถที่จะโชว์ความการเล่นได้อย่างสุดเจ๋งในศึกยูฟ่าซูเปอร์คัพนัดที่มาดริดชนะไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 2 ต่อ 0 จนทำให้เขาได้เป็น man of the match อีกต่างหาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทีแทบจะไม่มีใครคิดว่านั่นจะเป็นถ้วยสุดท้ายที่เขาคว้ามาครองกับ real madrid เพราะเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมเขาได้ย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแบบติดจรวดด้วยค่าตัวรวม 70 ล้านปอนด์แม้ว่าสภาพของปีศาจแดงนั้นจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักตามสายตาของทุก ๆ ในฤดูกาลนี้ ซึ่งหลังจากต้องนั่งเป็นตัวสำรองในช่วงแรก ๆ แต่ต่อมาเพียงไม่นานตัวของเขาเองก็สามารถที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงได้และสามารถทำประตูแรกให้กับทีมในนัดที่ทีม Manchester United เสมอกับเชลซี 1 ต่อ 1 นั่นเอง
ผลงาน กับทีมชาติ
คาเซมิโร่ ยอดนักเตะชาวบราซิลคนนี้ยังได้มีโอกาสเล่นให้กับทีมชาติบราซิลทั้งในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีและในรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ซึ่งตัวเขาเองนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับทั้ง 2 รุ่นเมื่อได้แชมป์ชิงแชมป์ทวีป
อเมริกาใต้รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีมาครองเมื่อปี 2009 ตลอดจนยังสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกอายุไม่เกิน 20 ปีของปี 2011 รวมถึงแชมป์ศึกชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ประจำปีเดียวกัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น
หนึ่งในเด็กหนุ่มที่มีความสำเร็จทางด้านผลงานระดับทีมชาติเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่เขาได้สร้างมหกรรมคว้าถ้วยรางวัลเกือบทุกรุ่นซึ่งนับว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับหนุ่มน้อยคนนี้เมื่อครั้งอดีต
คาเซมิโร่ ในปี 2019 ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในขุมกำลังของบราซิลชุดที่ได้แชมป์โคปา อเมริกามาครอง โดยในนัดชิงชนะเลิศที่บราซิลสามารถกำชัยชนะเหนือเปรู 3 ต่อ 1 นั้นตัวเขาเองยังมีโอกาสได้ลงฟาดแข้งเป็นตัวจริงอีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นการตอกย้ำมากขึ้นไปอีกว่านี่คือหนึ่งในคนที่บราซิลแทบจะขาดไปไม่ได้เลย ซึ่งจะสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะมีฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายหรือ ในอนาคตจะเป็นอย่างไรทีมชาติบราซิลจะต้องมีเขาอยู่เคียงข้างเสมอ เขาที่พร้อมฟาดแข้งกับทุกศึกที่เข้ามาพบเจอแบบไม่มีหวั่นเกรงเขาคือ คาเซมิโร่