ประวัติ สโมสร เรอัล มาดริด (ราชันชุดขาว) ทีมแห่งความสำเร็จและความร่ำรวย

BALLVAR

เรอัล มาดริด ชื่อนี้แฟนหลายทุกคนจะต้องเคยได้ยินกับทีมที่ถือว่าเป็นอันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องของความสำเร็จ ความร่ำรวย ชื่อชั้นของนักเตะที่เหนือกว่าทุกทีมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยากที่จะหาทีมไหนขึ้นมาเทียบกับตำนานที่พวกเขาสร้างขึ้นมาได้

จุดกำเนิดของพวกเขาต้องย้อนกลับในช่วงต้นศตวรรษ 20 ตอนนั้นฟุตบอลเพิ่งจะถูกนำเข้ามาในสเปน รวมถึงที่กรุงมาดริด โดยตอนนั้นเป็นการร่วมกลุ่มกันของนักวิชาการและนักศึกษา เริ่มแรกเลยคือ “ฟุตบอลคลับสกาย” ตั้งขึ้นในปี 1897 โดยจะลงแข่งเพียงอาทิตย์ละ 1 วันเท่านั้น จนกระทั่งปี 1900 สโมสรได้แยกออกเป็น 2 ทีมคือ นิว-ฟุตบอล เด มาดริด กับ เอสปัญญ่อล เด มาดริด จากนั้นในปี 1902 คณะบริหารชุดใหม่ได้เข้ามาจัดการในหลายๆ เรื่อง จนสโมสร มาดริด ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปีนั้น

มาดริด ในตอนนั้นได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก และยิ่งการที่พวกเขาคว้าแชมป์บอลถ้วยของสเปน (โคปา เดล เรย์ ในปัจจุบัน) ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ทำให้ มาดริด ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้น และมีส่วนสำคัญอย่างมากในการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลสเปนในปี 1909 และในปี 1920 ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เรอัล มาดริด โดยคำว่า เรอัล นั้นได้รับพระราชทานมาจากษัตริย์อัลฟอนโซ่ที่ 13 แห่งสเปน (คำว่า เรอัล แปลว่าของหลวงหรือของกษัตริย์) จากนั้นอีก 9 ปีถัดมา การแข่งขันระบบลีกถูกจัดขึ้นในสเปน และ เรอัล มาดริด เป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์ได้ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1932 และ 1933

จนกระทั่งการเข้ามาของ ซานติอาโก เบร์นาเบว เข้าได้สร้างมาดริดขึ้นมาใหม่และกลับมาผงาดครองแชมป์ได้อีกครั้งในปี 1954 จากนั้นปี 1955 มีการจัดตั้งการแข่งขันยูโรเปี้ยนคัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปัจจุบัน) ขึ้น ตามคำแนะนำของ เบร์นาเบว และ “ราชันชุดขาว” เป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ถึง 5 สมัยติดต่อกัน จากนั้น เรอัล มาดริด ก็ครองความยิ่งใหญ่มาโดยตลอดทั้งในประเทศและในระดับสโมสรยุโรป อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในปี 1978 สิ่งที่ช็อคแฟนบอลได้เกิดขึ้นเมื่อ เบร์นาเบว ยอดประธานสโมสรเสียชีวิตลงในวัย 82 ปี หลังจากนั้นชื่อสนามเหย้าได้เปลี่ยนมาเป็น “ซานติอาโก เบร์นาเบว” เพื่อให้เกียรติแก่ยอดบุคคลรายนี้

หลังจากนั้น มาดริด ก็เข้าสู่ยุคใหม่ภาย แต่พวกเขาต้องห่างหายกับคำว่าแชมป์ไปในช่วงต้นยุค 80 ก่อนจะกลับมาได้อีกครั้งในช่วงกลางๆ ยุค จากนั้นต่อด้วยยุค 90 หลายทีมในสเปนมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก มาดริด ไม่ได้กูกย่องให้เป็นเบอร์ 1 อีกต่อไป จนชายที่ชื่อ ฟลอเรนติโน เปเรซ ก้าวมาเป็นประธานสโมสร เปเรซ ได้จัดการเรื่องต่างๆ ในทีมให้สงบและใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะระดับโลกเข้ามามากมายจนเรอัล มาดริด ถูกเรียกว่า “กาลาติกอส”

แม้จะมีนักเตะระดับโลกอยู่ในทีมแต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือการถูกแทรกแซงโดยบอร์ดบริหาร ปี 2006 รามอน กัลเดรอน เข้ามาทำหน้าที่แทน เปเรซ แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เปเรซ ได้กลับมาทวงตำแหน่งคืน และวางนโยบายตามที่ตัวเองต้องการคือซื้อนักเตะฝีเท้ามาเล่นด้วยกัน ผู้เล่นอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, คาริม เบนเซมา, แกเร็ธ เบล, โทนี โครส และอีกหลายคนได้ตบเท้าเข้ามาใน “เบร์เนาเบว” แต่ก็ด้วยปัญหาเดิมๆ คือผู้จัดการทีมไม่มีอำนาจในการตัดสินใจมากพอ ประกอบกับ บาร์เซโลนา คู่ปรับตัวฉกาจก้าวขึ้นมาแย่งตำแหน่งหมายเลข 1 ทำให้บ่อยครั้งที่ มาดริด ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของบาร์ซา

สุดท้าย Real Madrid ก็พบกับผู้จัดการทีมที่ใช่นั่นคือ ซีเนอดีน ซีดาน อดีตตำนานของสโมสรที่ยกระดับจากการเป็นผู้จัดการทีมสำรอง ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่เมื่อตอนปี 2016 แม้ว่าจะเขาจะออกจากทีมไปช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมารับตำแหน่งอันสำคัญอีกครั้ง และพาทีมผงาดคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้เป็นผลสำเร็จในฤดูกาลที่ผ่านมา

Next Post

ประวัติ สโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี (เรือใบสีฟ้า) ทีมยักษ์ใหญ่ของลีกอังกฤษ

หากใครที่ติดตามประวัติของฟุตบอลอังกฤษมาตลอด จะเห็นได้ว่าในแต่ละเมืองมักจะมีทีมฟุตบอลอยู่มากกว่า 1 ทีมด้วยกัน เช่นเดียวกับเมืองแมนเชสเตอร์ ที่มีทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอด แต่เมื่อมองไปในประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ซิตี จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่เคยได้รับความสำเร็จใดๆ เลย แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไป พวกเขากลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ของลีกอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ซิตี ถูกก่อตั้งโดยกลุ่มสมาชิกของโบสถ์เซนต์มาร์คส์ ในเขตกอร์ตัน ของเมืองแมนเชสเตอร์ โดยมีจุดมุ่งหมายที่อยากจะลดความรุนแรงของบรรดาแก๊งค์อันธพาลท้องถิ่น ลดการติดแอลกอออล์ของวัยรุ่น ซึ่งทุกอย่างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนทีมก่อตั้งขึ้นมาได้ในปี 1880 ภายใต้ชื่อ เซนต์มาร์คส์ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี ในปี 1894 และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี ในยุคแรกๆ มีสตาร์ชื่อดังอย่าง บิลลี เมเรดิธ เป็นตัวชูโรงซึ่งตัวของ เมเรดิธ เองนั้นก็เป็นทั้งตำนานของ “เรือใบสีฟ้า” และ “ปีศาจแดง” พวกเขาไม่ได้มีทีมที่แข็งแกร่งมากมายเพราะนักเตะส่วนใหญ่มาจากผู้เล่นท้องถิ่น แต่พวกเขายังสร้างผลงานได้อย่างสุดยอดด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ […]